ย้อนกลับไปเมื่อ 50-60 ปีที่แล้ว

สมัยที่ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว อากาศปลอดโปร่ง ไร้มลพิษ ไม่มีรถราไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยมลพิษออกสู่บรรยากาศ
น้ำในคูคลอง ท่อระบายน้ำยังใสสะอาด จนปลาหางนกยูงสามารถแหวกว่ายอยู่เต็มไปหมด ชาวไร่ ชาวสวน ชาวนา ก็ไม่เคยใช้ปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืชเพราะในดินยังอุดมสมบูรณ์ด้วย แร่ธาตุนานาชนิด กุ้ง หอย ปู ปลา ก็อุดมสมบูรณ์ ไม่เคยต้องจับกุ้งปลามาเลี้ยงในบ่อเล็กๆ ที่หนาแน่น และใส่สารเคมีลงไปเพื่อให้มันโตเร็วๆ และรอดตายเยอะๆ สัตว์ใหญ่ เช่น ไก่ หมู วัว ก็เลี้ยงแบบธรรมชาติไม่เหมือนสมัยนี้ เลี้ยงด้วยยาปฏิชีวนะ เพื่อให้ได้นมมากๆ ได้เนื้อเยอะๆ โตไวๆ

การผลิตอาหารของเรา แม้จะมีปริมาณที่เพิ่มขึ้น ทั้งพืชผัก ผลไม้่ เนื้อสัตว์ แต่คุณค่าของสารอาหารกลับลดลง อาหารในปัจจุบัน จึงมีวิตามิน เกลือแร่ น้อย ซึ่งสังเกตได้ว่า อาหารธรรมชาติ ทั้งพืช ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ในปัจจุบันจะไม่อร่อย

สรุปว่าชีวิตเราทุกวันนี้

1. รับประทานอาหารทั้งพืช ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ที่มีคุณค่าต่ำลง มีสารอาหารไม่ครบถ้วนตามที่เซลล์ในร่างกายต้องการ
2. รับประทานอาหารทั้งผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ที่ปนเปื่อนมีสารเคมีตกค้าง
3. อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แม้จะอยู่ในท้องไร่ ท้องนา หรือในสวน เพราะเกษตรกร ต้องฉีดยา พ่นยาเป็นประจำ
4. ขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสมและเพียงพอ
5. รับประทานยาเคมี อย่างเป็นล่ำเป็นสัน

สุขภาพคนไทยวันนี้

ปัญหาสุขภาพของ ผู้คนทั้งหลาย ก็มาจากการรับประทานอาหารที่ไม่มีคุณภาพ ทำให้เป็นโรคเรื้อรังหลายอย่าง โดยเฉพาะโรคอ้วน ซึ่งเป็นต้นเหตุหนึ่ง ที่นำไปสู่การเป็นโรค เบาหวาน หัวใจ ข้อเข่าอักเสบ โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น

ในหลายปีที่ผ่านมา หน่วยงานหลายๆ แห่งได้รณณรงค์ช่วยกันหาวิธีลดอัตราการเพิ่มของประชากรที่มีน้ำหนักเกิน มาตรฐาน เช่น การแนะนำให้ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่, การให้รับประทานผักครึ่งหนึ่ง อย่างอื่นครึ่งหนึ่ง, การแนะนำให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การจัดเมนูให้ โรงเรียนอนุบาล และอื่นๆ

แต่จากการสำรวจข้อมูล ของกระทรวงสาธารณสุขกลับพบว่า อัตราการเพิ่มของเด็กอ้วนกลับเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ และ ที่สำคัญ ผู้บริหารของประเทศ ที่มีทั้งฐานะทางการเงิน, มีความรู้, มีการศึกษา อย่าง ส.ส. และ ส.ว. ที่กระทรวงสาธารณสุข ได้ทำการตรวจร่างกายให้เมื่อเดือน มีนาคม 2551 ที่ผ่านมา พบว่า 90% มีน้ำหนักเกิน, 60% เข้าข่ายเป็นโรคอ้วน 35% มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานเส้นเลือดหัวใจตีบ จะเห็นได้ว่า การรณณรงค์ของหน่วยงานต่างๆ ที่เสียงบประมาณไปมากมาย แต่ได้รับผลตรงกันข้ามกับเป้าหมายที่ต้องการ

ในปี พ.ศ. 2530 ดร. กฤษฎา จ่างใจมนต์ ได้เริ่มศึกษาหาสาเหตุของโรคเรื้อรังต่างๆ เหล่านี้ ต่อมาท่านได้ตั้งปณิธานและติดไว้หน้าห้อง ว่า

ในปี 2547 ดร.กฤษฎา จ่างใจมนต์ จึงเริ่มพบช่องทางช่วยคน ให้พ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจได้ โดยการผลิตกาแฟปรุงสำเร็จรูปชนิดผง ชื่อ Coffee Plus ตรา เนเจอร์กิฟ ออกมาได้

ย้อนกลับ